เคยสงสัยกันมั้ยครับว่า ญี่ปุ่นนับถือศาสนาอะไร ลองไปหาข้อมูล จากการสำรวจ ศาสนาในประเทศญี่ปุ่น (พ.ศ. 2559)
- ไม่มีศาสนาหรือชินโต ร้อยละ 51.8 %
- พุทธ ร้อยละ 34.9%
- สำนักของชินโต 4%
ชินโต วิถีแห่งเทพญี่ปุ่น

ศาสนาและวัฒนธรรมญี่ปุ่น ทางด้านศาสนานั้น นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ญี่ปุ่นเปิดกว้างให้มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา โดยได้ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1957 (พ.ศ. 2500) เป็นต้นมาว่าประชาชนมีอิสรภาพในการนับถือศาสนาใดๆก็ได้ ซึ่งแต่เดิมศาสนา ชินโต (shinto) ถูกกำหนดให้เป็นศาสนาอย่างเป็นทางการที่สืบมาแต่ยุคโบราณแล้ว คำว่า “ชินโต” หมายถึง “วิถีแห่งเทพเจ้า” ศาสนานี้นับเป็นศาสนาที่มีความเก่าแก่ที่สุดศาสนาหนึ่ง เป็นศาสนาที่มีความเชื่อและความเคารพยำเกรงต่อพลานุภาพของเทพเจ้าองค์ต่างๆเช่น เดียวกับศาสนาโบราณอื่นๆทั่วโลก ศาสนานี้ถือเป็นศาสนาพื้นเมืองที่อยู่คู่กับชาวญี่ปุ่นมาแต่ดึกดำบรรพ์นับจากที่เริ่มมีการก่อตั้งชุมชนขึ้นแรกๆเป็นตันมาและอยู่คู่กับสังคมญี่ปุ่นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ แตอันที่จริงยังไม่มีการเรียก ชื่อของศาสนานี้ว่า “ชินโต” มาจนถึงชงประมาณศตวรรษที่ 8 (พุทธศตวรรษที่ 13) หรือในยุคสมัย นาระ เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่ศาสนาพุทธเข้าไปเผยแผ่ในแผ่นดินญี่ปุนแล้ว และได้ก็มีการนำอิทธิพลความเชื่อของศาสนาพุทธเข้าไปผสมผสานกับความเชื่อที่มีมาแต่โบราณของตน และกำหนดพิธีกรรม กำหนดวิถีประเพณีอย่างมีรูปแบบขึ้น
คำว่า ชินโต เริ่มปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกอยู่ในบันทึกโบราณที่มีชื่อว่า “โคจิกิ (Kojiki)” ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่เขียนขึ้นในสมัย นาระ จึงเชื่อว่าการเรียกชื่อศาสนาที่นับถือกันมาแต่เก่าแก่โบราณนั้นเริ่ม ขึ้นในสมัย นาระ นี้เอง ส่วนพิธีกรรมและความเชื่อบางอย่างของ ชินโต นั้น มีความละม้ายคล้ายกับความเชื่อในศาสนาพุทธก็เพราะได้รับอิทธิพลบางสิ่งบางอย่างจากศาสนาพุทธข้าไปผสมผสานตั้งแต่ช่วงเวลานั้นด้วยนั่นเองก่อนหน้าจะมีการบัญญัติคำว่า ชินโต ขึ้นในยุค นาระ นั้น ศาสนาหรือความเชื่อที่ยึดถือกันมาแต่โบราณของชาวญี่ปุ่นก็คล้ายกับความเชื่อดั้งเดิมของชาวพื้นเมืองแห่งต่างๆทั่วทุกมุมโลก คือเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างสิ่งต่างๆขึ้น สร้างจักรวาล สร้างโลก สร้างชีวิตและสิ่งต่างๆขึ้น โดยมีเทพองค์ต่างๆคอยปกปักรักษา และดูแลให้ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถี มีภูตผีและวิญญาณที่สิงสถิตตามที่ต่างๆปะปนอยู่กับมนุษย์และเหล่าสรรพสัตว์คอยทำให้เกิดปรากฎการณ์ต่างๆ แต่ชาวญี่ปุ่นสมัยโบราณก็ยังไม่ได้มีชื่อเรียกของสิ่งที่ตนเชื่อหรือมีพิธีกรรมการสักการะบูชาสิ่งที่ตนเชื่ออย่างเป็นระบบเท่าใดนัก มีแต่เพียงตำนานเรื่องเล่าที่กระท่อนกระแท่นไม่ชัดเจนนัก

พุทธศาสนาในญี่ปุ่น
จนกระทั่งเมื่อมีศาสนาพุทธ และลัทธิความเชื่อต่างๆของชาวจีน เช่น ขงจื่อ (Kongz) และเต (D๐) แผ่เข้าสู่ญี่ปุ่นตั้งแต่ยุค อสึกะ ในช่วงศตวรรษที่ 6 (พุทธศตวรรษที่ 11)ชาวญี่ปุ่นจึงเริ่มจัดระบบความชื่อของตนขึ้นใหม่อย่างเช่นระบบความเชื่อในศาสนาพุทธ ที่มีประวัติความเป็นมา มีองค์พระโพธิสัตว์ มีพุทธสาวกซึ่งเป็นผู้ผยแพร่คำสอนของพระพุทธองค์รูปต่างๆมีหลักคำสอนอันเป็นเหตุเป็นผล รวมถึงหลักการต่างๆของ ขงจื่อ และ เต่ำ ที่มีความน่าเชื่อถือ
ชาวญี่ปุ่นจึงเริ่มพัฒนารูปแบบความเชื่อของตนให้เป็นเหตุเป็นผลและจัดรูปแบบความเชื่อดั้งเดิมให้เป็นระบบมากขึ้นเรื่อยๆตามอิทธิพลของศาสนาและความเชื่อที่รับมาจากประเทศจีน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ริมต้นขึ้นจากราชสำนักญี่ปุ่นเป็นแห่งแรก ที่เริ่มมีการปรับรูปแบบความเชื่ออย่างมีระบบขึ้นก่อนแล้วจึงค่อยกระจายต่อไป ยังเหล่าขุนนางและชนชั้นสูงเป็นลำดับ แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่ชัดเจนนักจนกระทั่งเข้าสู่ยุคสมัย นาระ นั่นเอง จึงได้มีการกำหนดรูปแบบต่างๆอย่างเป็นหลักเป็นฐานตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ โคจิกิ ซึ่งแปลว่า “บันทึกเรื่องราวโบราณ” เกิดขึ้นจากพระดำริของราชินี เกนมอิ (Genme) ซึ่งปกครองญี่ปุ่นในยุคสมัย นาระ ช่วงเวลานับแต่ปี ค.ศ. 705 ถึง 715(พ.ศ. 1250 ถึง 1258) ทรงมอบให้ โอ โนะ ยาสี-มารุ (O no Yasumaro) ซึ่งเป็นขุนนางในสมัยนั้นเป็นผู้บันทึกคัมภีร์ โคจิกิขึ้น
คัมภีโคจิกิ
คัมภีร์ โคจิกิมีลักษณะเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของการสร้างญี่ปุ่นในเชิงเทพปกรณัม มีทั้งสิ้น 3 เล่ม
- เล่มแรก กล่าวถึงเทพเจ้าซึ่งเป็นผู้สร้างญี่ปุ่นและเผ่าพันธุ์ชาวญี่ปุ่นขึ้น รวมถึงเทพเจ้าองค์ต่างๆที่เกี่ยวพันกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่น และการสักการะเทพเจ้าองค์ต่างๆ
- เล่มที่ 2 คล่าวถึงการสืบสายของกษัตริย์ จิมมุ (Jimmu) ที่ถือเป็นกษัตริย์องค์แรกของเผ่าพันธุ์ญี่ปุ่น รวมถึงกษัตริย์ในตำนานพระองค์อื่นๆรวม 15 พระองค์ ไปสิ้นสุดที่กษัตริย์ โอจิน(Oin) กษัตริย์องค์แรกของยุค โคฟง อันถือเป็นยุคสมัยที่เริ่มปรากฎร่องรอยของอารยธรมให้เห็นอย่างชัดจน
- เล่มที่ 3 ก็กล่าวถึงกษัตริย์องค์ที่ 16 ถึงองค์ที่ 33 จากยุคโคฟง ต่อเนื่องมาจนถึงยึค ค อสึกะ
นับจากยุคสมัยโคฟุงต่อเนื่องถึงยุค อสึกะ นี้เองที่เริ่มตันปรากฏให้เห็นการสร้างรูปเคารพ ศาลเจ้าและสถานที่สักระบูชาเทพเจ้าขึ้น จึงสันนิษฐานว่าความเชื่อโบราณของชาวญี่ปุ่นได้เริ่มลงหลักแน่นหนาจนเป็นศาสนา ชินโต ช่วงเวลานี้เองด้วยการที่ศาสนา ชินโต เชื่อว่าเทพเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งขึ้น ศาสนานี้จึงคล้ายกับศาสนา เทวนิยม (Polytheism) หรือศาสนาที่เชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ทั่วไปเช่นศาสนาฮินดู กรีกโบราณโรมันหรืออียิปต์ ศาสนา ชินโตจึงแตกต่างไปจากศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม หรือศาสนาอื่นๆที่มีองค์พระศาสดาผู้ประกาศศาสนาอย่างชัดจน ศูนย์กลางของความศรัทธาในศาสนา ชินโต จึงรวมอยู่ที่กษัตริย์ ซึ่งถูกปลูกฝังให้ชื่อว่าเป็นผู้ที่สืบเผ่าพงศ์จากเทพเจ้ามาแต่โบราณ
ความเชื่อและศาสนากับคนญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน
แต่ความเชื่อนี้ในปัจจุบันก็เริ่มเจือจางลงไปมากและความเชื่อในศาสนา ชินโต ของชาวญี่ปุ่นทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีความเข้มข้น แต่ก่อนอีกต่อไป แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อในศาสนา ชินโต ยังคงซึมซับอยู่ในสังคมญี่ปุ่นอย่างเหนียวแน่นโดยที่ชาวญี่ปุ่นรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้อาจไม่ทราบเลยว่าตนลังยึดถือในวัตรปฏิบัติแบบ ชินโต บางอย่างโดยที่ไม่รู้ตัว เลยก็เป็นได้ และมีอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือการประยุกต์รวมเอาวัฒนธรรมในสมัยเก่า ประยุกต์เข้ากับสมัยใหม่ได้อย่างแนบเนียน และในปัจจุบัน มีการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาท่องเที่ยวในญี่ปุ่นมากเป็นประวัติการณ์ในหลายๆวัดและศาลเจ้า ได้ปรับตัวให้เป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้น ทำให้ลดความเป็นญี่ปุ่นน้อยลง

พุทธและชินโต ในญี่ปุ่นปัจจุบัน
ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ๆให้ความสนใจและยึดถือว่าเป็นเทศกาลสำคัญของพวกตน ที่จะได้หยุดเรียน หยุดงาน แล้วแต่งตัวสวยๆออกจากบ้านไปเที่ยวเตร่ตามสถานที่ต่างๆนั้น ที่แท้ก็คือเทศกาลสำคัญอันสืบทอดมาแต่โบราณตามความเชื่อของศาสนา ชินโต นั่นเองในแต่ละปีชาวญี่ปุ่นแต่ละภูมิภาคทั่วประเทศจะมีงานเทศกาลสำคัญๆที่จัดขึ้นตามประเพณีเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลนั้นๆซึ่งสืบทอดกันมาแต่โบราณ ตามแต่ละพื้นถิ่นจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลตามความเชื่อที่แตกต่างกันไป แต่ก็มีเทศกาลสำคัญๆที่จะยึดถือตรงกันทั่วประเทศ งานเทศกาลเหล่า นั้นก็เกิดขึ้นมาจากความเชื่อตามหลักศาสนา ชินโต นั่นเอง และจนถึงทุกวันนี้งานเฉลิมฉลองเทศกาลเหล่านั้นก็ยังคงได้รับการยึดถือและปฏิบัติสืบต่อเนื่องกันกว่าหลายพันปีแล้ว แม้คนในวัยหนุ่มวัยสาวหรือเด็กๆก็มักตั้งหน้าตั้งตารองานเทศกาลเหล่านั้นอย่างจดจ่อเพื่อจะได้ออกไปเที่ยวกันอย่างสนุกสนานในแต่ละปี ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่างานเฉลิมฉลองเทศกาลเหล่านี้เป็นสิ่งดึงดุด ให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้เดินทางไปที่ญี่ปุ่นเพื่อสัมผัสกับงานฉลอง อันยิ่งใหญ่เหล่านั้นปีหนึ่งนับเป็นจำนวนมหาศาลเช่นกัน
และถึงแม้ในปัจจุบัน ศาสนา ชินโต จะถูกบีบให้ชาวญี่ปุ่นต้องไม่ยอมรับศาสนานี้เป็นศาสนาประจำ ชาติอีกต่อไปตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2 เป็นตันมา เนื่องจากถูกมอง ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการปลุกความคลั่งชาติของชาวญี่ปุ่นขึ้นมา ที่เป็นสาเหตุให้ เกิดลัทธิแผ่ขยายอำนาจสร้างจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงวลานั้นจนถึงกับพยายาม บังคับไม่ให้ชาวญี่ปุ่นจัดงานฉลิมฉลองตามประเพณีที่ยืดถือสืบทอดกันมาแต่ โบราณอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถจะ คุกคามความเชื่อ หรือวัตรปฏิบัติตาม ประเพณีที่ชาวญี่ปุ่นยึดมั่นมาอย่างเหนียวแน่นได้ และแม้ว่าศาสนา ชินโต จะถูกปลดออกจากการเป็นศาสนาประจำชาติ ตามรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นฉบับปัจจุบัน ชาวญี่ปุ่นก็ยังคงยึดถือเทศกาลต่างๆตามที่ศาสนา ชินโต กำหนดไว้ให้เป็นงานเทศกาลสำคัญประจำปีมาจนถึงทุกวันนี้อยู่นั่นเอง
สำหรับงานเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญของชาวญี่ปุ่นที่สืบทอดกันมาแต่โบราณในแต่ละปี ส่วนใหญ่เป็นงานเฉลิมฉลองตามรูปแบบสังคมเกษตรกรรมที่เป็นสังคมยุคสมัยโบราณ ช่น งานฉลองฤดูหว่านไถ ฉลองฤดูเก็บเกี่ยว งานเทศกาลสักการะเทพเจ้าหรือเทศกาลขอพรต่งๆ สำหรับเทศกาลที่ถือว่าเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่ชาวญี่ปุ่นจากทั่วทั้งประเทศต่างแห่แหนกันไปร่วมงานเทศกาลสำคัญของชาวญี่ปุ่น
เครื่องรางญี่ปุ่น วัดและศาลเจ้าญี่ปุ่น

เครื่องรางความรัก ศาลเจ้า Izumo Taisha (ศาลเจ้าชินโต)

เครื่องรางนำโชค ถุงนำโชคเรื่องลูก Kinkakuji (วัดพุทธ)
กล่าวไปถึง เครื่องรางญี่ปุ่น โดยส่วนใหญ่แล้ว ความเชื่อเหล่านี้มักอยู่ที่ศาลเจ้า ชินโต เราจะเห็นการประกอบพิธี การบวงสรวง การทำพิธีผ่านเทศกาลต่างๆในญี่ปุ่น บ้าง นั้น บางครั้งก็ดูแล้วก็มีความละม้ายคล้ายคลึงกับวัดพุทธเช่นกัน สำหรับวัดในญี่ปุ่นแล้ว การสวดมนต์เป็นกิจหลัก เครื่องรางญี่ปุ่น ที่ออกมาจากทางวัดในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะจะน้อยกว่าทางศาลเจ้าของชินโต เนื่องจากในญี่ปุ่นมีศาลเจ้าอยู่มากกว่าวัด และเครื่องรางในศาลเจ้าจะมีการดีไซด์ที่น่ารักและทันสมัย มากกว่าทางวัดที่ดูเข้มขรึม แต่ในยุคปัจจุบัน บางครั้งก็แยกไม่ออกว่า เครื่องรางชิ้นนี้มาจากวัดหรือจากศาลเจ้าชินโต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เครื่องรางญี่ปุ่นเหล่านี้ เป็นเครื่องรางสายขาว คือไม่ใช่การทำคุณไสย ไม่มีการทำเพื่อไปทำร้ายคน และที่สำคัญ เครื่องรางเหล่านี้ประกอบพิธีด้วยผู้ทรงศีล หรือปุโรหิต ของทางวัดและศาลเจ้าที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น การนำมาทำพิธีเองไม่ถือว่าเป็นการทำพิธีของทางวัด-ศาลเจ้านะครับ
การไปนอบน้อมนมัสการ เครื่องรางจากวัดและศาลเจ้าในญี่ปุ่น ก็มีความแตกต่างกันเล็กน้อยเช่นกัน ในบางครั้ง การสังเกตุว่าเป็นวัดหรือเป็นศาลเจ้าก็มีความสำคัญไม่น้อย ในวัดก็มีวิธีแบบหนึ่ง ส่วนในศาลเจ้าก็มีวิธีการอีกแบบหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นแล้ว มีข้อ สังเกตุง่ายๆว่าเป็นวัดหรือศาลเจ้า ให้ดูที่คำลงท้าย หากลงท้ายด้วย Jinja Jingu นั้นถือว่าเป็นศาลเจ้า ให้ปฏิบัติตามการไปนมัสการศาลเจ้า ดังที่กล่าวในหัวข้อที่เคยกล่าวไว้ในเว็บแห่งนี้
สรุป
ชินโต สอนให้มีความเชื่อและความเคารพยำเกรงต่อพลานุภาพของเทพเจ้าองค์ต่างๆ เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างสิ่งต่างๆขึ้น สร้างจักรวาล สร้างโลก สร้างชีวิตและสิ่งต่างๆขึ้น โดยมีเทพองค์ต่างๆคอยปกปักรักษา และดูแลให้ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถี มีภูตผีและวิญญาณที่สิงสถิตตามที่ต่างๆปะปนอยู่กับมนุษย์และเหล่าสรรพสัตว์คอยทำให้เกิดปรากฎการณ์ต่างๆ
พุทธ ความเชื่อในศาสนาพุทธ ที่มีประวัติความเป็นมา มีองค์พระโพธิสัตว์เป็นผู้นำคำสอน มีพุทธสาวกซึ่งเป็นผู้ผยแพร่คำสอนของพระพุทธองค์รูปต่างๆมีหลักคำสอนอันเป็นเหตุเป็นผล เช่นทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งเป็นเหตุและผลกันและกัน รวมถึงหลักการต่างๆของ ขงจื่อ และ เต๋า ที่มีความน่าเชื่อถืออื่นๆ
และในบางครั้งจะเห็นได้ว่า ทั้งชินโต และคำสอนพุทธศาสนา รวมกันอยู่ในวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นเข้าไปอย่างแนบแน่จนบางครั้งก็แทบจะไม่ออก และชาวญี่ปุ่นยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีเอาไว้อย่างเหนียวแน่น อีกทั้งประสมประสานวัฒนธรรมใหม่เข้ากันได้อย่างกลมกลืน วัดและศาลเจ้าในญี่ปุ่น ก็เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบพิธีกรรม รวมไปถึง เครื่องรางญี่ปุ่น ก็มีให้สัการะบูชาทั้งในที่เป็นศาลเจ้าและวัดต่างในญี่ปุ่น ซึ่งบางอย่างก็แตกต่างกันออกไปอย่างเห็นได้ชัด แต่บางอย่างก็แทบจะละม้ายคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออกเช่นกัน